Categories
บทความ

ดูแลกระดูก และข้ออย่างไร? ให้ดีต่อใจ ในทุก Generation

หากเปรียบร่างกายคือรถยนต์ กระดูกก็เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนรถไปยังเป้าหมายที่เราต้องการ เมื่อเราใช้งานรถไประยะหนึ่ง สิ่งที่ควรทำอยู่เป็นประจำคือการตรวจเช็กสภาพรถ เพื่อตรวจสอบว่ามีชิ้นส่วนไหนของรถที่เกิดความเสียหายหรือหมดอายุการใช้งาน เพื่อทำการปรับเปลี่ยนและซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที

กระดูกของเราก็เช่นกัน การหมั่นดูแลรักษาและตรวจเช็กสภาพอยู่เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่วัยสูงอายุ เพื่อเช็กดูว่ากระดูกและข้อบริเวณส่วนไหนของร่างกายที่เกิดการผิดปกติ และในปัจจุบันมิใช่เพียงแค่วัยสูงอายุเท่านั้น วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาวหลายๆท่าน ประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องของกระดูก ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดหลังเรื้อรัง ออฟฟิศซินโดรม หรืออุบัติเหตุที่ส่งผลโดยตรงต่อกระดูก ซึ่งสาเหตุเหล่านั้นล้วนมาจากการใช้งานอย่างหนักและสะสมมาเป็นเวลาหลายปี การตรวจเช็กกระดูกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

การดูแลรักษากระดูกในช่วงวัยเด็ก

วัยเด็ก คือ วัยแห่งความสดใส เป็นวัยแห่งการเรียนรู้และจดจำ ในส่วนของการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย เป็นช่วงวัยที่อวัยวะในร่างกายส่วนต่างๆ พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกและกล้ามเนื้อ วัยเด็กเป็นวัยที่ใช้กล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ เด็กที่มีกระดูกแข็งแรงจึงเปรียบเสมือนการมีรากฐานของร่างกายที่มั่นคงและส่งผลดีในอนาคต

นอกจากนี้การดูแลเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อในวัยเด็กสามารถทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินดี ที่มาจากอาหารประเภท นม โยเกิร์ต ผลไม้ ชีส เนื้อปลา ฯลฯ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง

แคลเซียมคือแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน พบได้ในผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วย นม ถั่ว เมล็ดพืชบางชนิด และผักใบเขียว ใน 2 – 3 มื้อของแต่ละวัน

การรับประทานวิตามินดี

อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเด็กที่แพ้อาหาร การวิตามินโดยตรงจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ปกครอง โดยเฉพาะวิตามินดี 3 ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม และมีความสำคัญอย่างมากในวัยเด็ก

การส่งเสริมให้เด็ก ๆ ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อได้อย่างดีที่สุด สามารถทำกิจกรรมง่าย ๆ หรือกิจกรรมที่รับน้ำหนัก (Weight – Bearing Activities) ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง กระโดด และกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อกระดูกและกล้ามเนื้อโดยตรง

การดูแลรักษากระดูกในช่วงวัยรุ่น

วัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นช่วงวัยที่ควรบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกมากที่สุด เพราะเป็นช่วงวัยที่กระดูกมีการเจริญเติบโตมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ ในช่วงของวัยรุ่นการดูแลและเสริมสร้างความแข็งแรงไม่ต่างจากวัยเด็กมากนัก โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดี ความแตกต่างที่เพิ่มเข้ามาในช่วงของวัยรุ่นคือ การเลือกรับประทานอาหารได้เองโดยที่ไม่มีผู้ปกครองมาคอยกำหนด หรือแบ่งสัดส่วนที่ควรรับประทานในแต่ละมื้อและในแต่ละวัน เหตุนี้เองที่ทำให้ช่วงของวัยรุ่น เป็นอีกช่วงวัยที่เผลอทำลายกระดูกด้วยการรับประทานอาหารหรือพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อกระดูกโดยตรง ดังนั้นสิ่งที่ควรปฏิบัติมากที่สุดในช่วงวัยรุ่นคือ

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อกระดูกโดยตรง

เช่น นั่งหรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน การบริโภคคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มอัดลม การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียมสูง รวมถึงการใช้บุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนทำลายกระดูก และส่งผลเสียมายังช่วงวัยที่มากขึ้นในอนาคต

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ในช่วงวัยรุ่นการออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำมากที่สุด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่

เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม และแคลเซียมที่ร่างกายต้องการคือ 800 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ควรทานอาหารที่มีวิตามินดี ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอาหารโดยตรงหรืออาหารเสริม

ตรวจเช็กสุขภาพกระดูกทันทีที่เริ่มรู้สึกถึงอาการผิดปกติ

โดยเฉพาะผู้ที่ประวัติทางพันธุ์กรรมของโรคกระดูกหลังคด ซึ่งพบได้มากในช่วงของวัยรุ่น

การดูแลรักษากระดูกในช่วงวัยกลางคน

 

เมื่อมาถึงวัยกลางคน หรือ วัยทำงาน เป็นช่วงวัยที่ผ่านการใช้ร่างกายมาอย่างหนัก และมักประสบกับอาการปวดหลัง ปวดข้อ หรือปวดเมื่อยตามร่างกายในส่วนต่างๆ อาการเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมและการดำรงชีวิตในแต่ละวัน หากพบอาการที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตหรือมีอาการปวด อาการชา ร่วมด้วย ควรพบแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษาได้อย่างถูกต้อง

เมื่อมีอาการบาดเจ็บกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อเกิดขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การตรวจเช็กร่างกายในบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อรับการรักษาและทำกายภาพบำบัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางกระดูกโดยตรง เพื่อทำการวินิจฉัยและหาแนวทางในการรักษาร่วมกับผู้ป่วยได้อย่าง ปลอดภัย และตรงจุด หลังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว การรักษามีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด การผ่าตัดแบบแผลเล็กบาดเจ็บน้อย ผ่าตัดแบบส่องกล้อง และการทำกายภาพบำบัด ซึ่งขึ้นอยู่จากอาการเจ็บป่วยและปัจจัยอื่นๆ

การดูแลรักษากระดูกในช่วงวัยสูงอายุ

เมื่อเดินทางมาสู่วัยสูงอายุ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การชะลออาการเจ็บป่วยและการรับการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้หายและบรรเทาอาการเจ็บปวด นอกจากนี้การดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย เช่นเดียวกับช่วงวัยอื่นๆ แต่ช่วงวัยสูงอายุมีข้อระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีไขมันน้อย จำกัดปริมาณรสชาติของอาหาร ไม่เค็ม ไม่หวาน หรือเปรี้ยวจนเกินไป และการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายที่ไม่หักโหมหรือใช้แรงมากเกินไป

และโรคทางกระดูกที่พบมากในกลุ่มวัยสูงอายุคือ โรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเกิดจากการเสื่อมตามอายุ และการใช้งาน วิธีการดูแลและตรวจเช็กสภาพของกระดูกข้อเข่าผ่าน “KDMS – The Best Solution” คือการให้ความสำคัญกับการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ผ่านการวินิจฉัยและการวิเคราะห์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาต่าง ๆ โดยตรง เพื่อการรักษาที่ดีสุด

ตัวอย่างการรักษา มีทั้งรูปแบบการผ่าตัด และ การรักษาโดยไม่ผ่าตัด เช่น การฉีดน้ำเข้าข้อเข่าเทียม การฉีดพลาสม่าเกล็ดเลือด (PRP) การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ข้อสะโพกเทียม พร้อมกับการทำกายภาพบำบัดควบคู่ไปด้วย ซึ่งวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์และปัจจัยของอาการบาดเจ็บร่วม

CR : https://www.kdmshospital.com/article/howto-take-care-of-bone-and-joint/

Categories
บทความ

รู้ทันเรื่อง ข้อเสื่อม & กระดูกพรุน

โรคข้อเสื่อม (osteoarthritis) ส่วนมากพบอาการกับข้อใหญ่ๆ ที่มีการเคลื่อนไหวมาก หรือข้อที่ รับน้ำหนักมาก เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่บุปลายกระดูกข้อ เป็นเหตุให้ผิวของกระดูกอ่อนเปลี่ยนสภาพจากผิวเรียบมัน กลายเป็นผิวขรุขระ เป็นผลให้การเคลื่อนไหวของข้อมีการติดขัดและเสียไป การเสื่อมจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา

การป้องกันและรักษาโรคข้อเสื่อมโดยไม่ใช้ยา

ถ้าอ้วน หรือน้ำหนักเกิน ให้ลดน้ำหนักลง เพราะน้ำหนักที่เกินทำให้ข้อรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น ลดการทำงาน หรือการรับน้ำหนักของข้อ หลีกเลี่ยงการกระโดด คุกเข่า การนั่งพับเพียบ งดการยกของหนัก บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อให้แข็งแรงเสมอ เช่น การนั่ง หรือนอน ยกหรือขยับข้อเข่า ข้อสะโพกให้มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 20-30 นาทีทุกวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ การว่ายน้ำ ถีบจักรยาน 

โรคกระดูกพรุน กระดูกของคนเรามีหน้าที่สำคัญคือเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ รับน้ำหนักและแรงกดกระแทกต่างๆ เมื่อใช้ไปนานๆ ก็มีการผุกร่อน กระดูกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อผิวกระดูกเริ่มเก่า ร่างกายจะผลิตตัวสลายกระดูก ส่งตรงมายังผิวกระดูกเก่าเพื่อย่อยสลาย จากนั้นร่างกายจะผลิตตัวสร้างเนื้อกระดูก โดยดึงแคลเซียมจากการะแสเลือดเข้ามาเสริมเพื่อให้กระดูกใหม่แข็งแรงฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเป็นตัวควบคุมให้ตัวสลายและตัวสร้างกระดูกทำงานอย่างสมดุล แต่เมื่อเข้าวัยหมดฮอร์โมน ตัวสลายจะทำงานเร็วกว่าตัวสร้างหลายเท่า จนเนื้อกระดูกเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ และเข้าสู่สภาวะกระดูกพรุน

แคลเซียมนั้นสำคัญไฉน

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญในกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมน และเอนไซม์ เพื่อให้ร่างกายทำงานปกติ ในแต่ละวันร่างกายต้องได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ ผู้ชายและผู้หญิงสูงอายุต้องการแคลเซียมประมาณวันละ 1000 – 1200 มิลลิกรัม แคลเซียมมีอยู่ในอาหารปริมาณต่างๆกัน แคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส เนยแข็ง จะถูกดูดซึมได้ง่ายที่สุด ส่วนแคลเซียมจากกระดูกสัตว์ เช่น ที่พบในปลาเล็กปลาน้อย กะปิ ถูกดูดซึมได้ค่อนข้างดี ในขณะที่แคลเซียมในผัก เช่น เมล็ดงา ถั่วเหลือง ผักคะน้า มะเขือพวง ใบยอ ถูกดูดซึมได้ต่ำ เนื่องจากมีสารหลายชนิดรบกวนการดูดซึม

ยาแคลเซียม แบบเม็ด แคปซูล หรือแบบเม็ดฟู่ ต่างก็เป็นรูปแบบยาที่ทำขึ้นให้แตกต่างกัน เพื่อให้สะดวกแก่การกิน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดเมื่อเลือกซื้อควรทราบว่าตัวยาแคลเซียมนั้นอยู่ในรูปเกลืออะไร ปริมาณเท่าไร และให้แคลเซียมปริมาณเท่าไรหากรับประทานแคลเซียมเสริมมากเกินไป อาจทำให้มีระดับแคลเซียมในเลือดสูงมากกระทั่งเกิดพิษจะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต หรือกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของกล้ามเนื้อ เกิดอาการท้องผูก คลื่นไส้ มึนงง ปัสสาวะมาก หัวใจเต้นผิดปกติ ดังนั้นในการรับประทานแคลเซียมเสริมนั้นต้องรับประทานแต่พอดีไม่มากเกินไป

CR : https://www.bangkokpattayahospital.com

Categories
บทความ

โรคข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ

โรคข้อเสื่อมถือเป็นโรคที่พบบ่อย และสร้างปัญหาให้กับผู้สูงวัยในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยโรคข้อเสื่อมพบในตำแหน่งของข้อที่รับน้ำหนักมาก คือ ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อต่อกระดูกสันหลัง เป็นต้น

สาเหตุของโรคข้อเสื่อมเกิดจากการใช้ของอวัยวะนั้นๆ เป้นเวลานาน การใช้งานอย่างหนัก และด้วยอายุที่มากขึ้นก็เป็นตัวแปร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวข้อกระดูกเสื่อมซึ่งมักจะเกิดร่วมกับอาการข้ออักเสบด้วย

อาการในระยะแรกอาจมีการขัดหรือฝืดในข้อเป็นครั้งคราวหากมีการอยู่นิ่งเป็นเวลานาน บางรายอาจมีอาการเจ็บปวดร่วมอยู่ด้วย ซึ่งการเจ็บปวดบริเวณข้อเหล่านี้ อาจสัมพัน์กับการทำกิจกรรม เช่น การขึ้นลงบันได การออกกำลังกายหักโหม นั่งยองหรือนั่งแบบผิดสุขลักษณะ หากมีการอักเสบร่วมด้วยอาจจะมีอาการบวมแดง บริเวณข้อเข่า ข้อเท้า

การรักษาโรคข้อเข่าจะเน้นที่การบรรเทาอาการเจ็บปวด และป้องกันการอักเสบควบคุมให้เกิดการอักเสบน้อยลง ไม่ให้ส่งผลกระทบในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ในการรักษาควรเป้นการทำกายภาพบำบัดข้อบริเวรนั้นควบคู่ไปกับการใช้ยาบรรเทาอาการปวดข้อ ในกรณีที่มีอาการเสื่อมของข้อรุนแรง การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าก็สามารถทำได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์

การลดน้ำหนักและการออกกำลังกายเป็นทางเลือกหนึ่งของการป้องกันและบรรเทาดรคข้อเสื่อม การลดน้ำหนัก หรือการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุด เพราะน้ำหนักเกินเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และทำให้การดำเนินโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เนื่องจากข้อต่างๆ ของร่างกายต้องรับแรงมากกว่าปกติ การลดน้ำหนักจะทำให้อาการปวดข้อดีขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายที่เป็นแบบแอโรบิกช่วยทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป ซึ่งจะเป้นประโยชน์มากกับข้อที่รับน้ำหนักโดยตรง

การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นๆ มีความแข็งแรง และช่วยผ่อนแรงกระแทกที่กระทบกับข้อโดยตรงแล้ว ยังช่วยทำให้ข้อสึกช้าลง หรือช่วยควบคุมแนวการรับน้ำหนักของข้อนั้นๆ ให้อยู่ในแนวที่ตรงขึ้น ทำให้ข้อรับน้ำหนักน้อยลง

CR : https://www.bangkokpattayahospital.com

Categories
บทความ

กินดีสุขภาพดีแบบ IF

การกินแบบ IF หลักการพื้นฐาน คือ การจัดเวลาการกินอาหารโดยมีช่วงเวลาการอดอาหารเป็นช่วงเวลา ที่จะทำให้ระดับอินซูลินลดลงมากเพียงพอและนานพอหรือเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 16 ชั่วโมง ที่ร่างกายเราจะเผาผลาญไขมันสะสมได้

การอดอาหารเป็นช่วงเวลา เป็นกลยุทธ์การลดน้ำหนักได้เร็วและมั่นคงพร้อมทั้งเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกายที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันทั้งในหมู่คนดัง แวดวงดารา เซเลป และผู้ที่ต้องการมีสุขภาพที่ดี จากการที่ร่างกายไม่มีอาหารเป็นระยะเวลานานพอหรือเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 16 ชั่วโมง ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญน้ำตาลสะสมและไขมันให้กลายเป็นพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานจากไขมันจะเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์แก่ร่างกายคุณ นอกเหนือจากการลดน้ำหนักแล้ว การเลือกอาหารสำหรับการกินแบบ IF ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพ การชะลอวัย การลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง (์NCDs) เมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้น ก็จะผลิตอินซูลินที่เยอะขึ้นเพื่อการเผาผลาญน้ำตาล ทำให้เราเสี่ยงที่จะดื้อต่ออินซูลิน และร่างกายก็จะสะสมไขมันเยอะจนเกิดภาวะลงพุง และโรคอ้วนได้

ผู้ที่เสี่ยงต่อการกินแบบ IF

✗ ผู้ป่วยจากโรคบางชนิดที่ได้รับการประเมินจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพว่าไม่ควรกินแบบ IF เช่น โรคความดันโลหิตต่ำ ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น
✗ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร
✗ ผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าค่ามาตรฐาน BMI
✗ เด็กวัยกำลังเจริญเติบโตและเรียนรู้ และวัยรุ่นหรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
✗ มีความผิดปกติหรือมีความวิตกกังวลในด้านการกิน เช่น มีภาวะของโรคคลั่งผอม มีอาการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
✗ ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาหลักการกินแบบ IF อย่างถูกต้อง หรือทำตามผู้อื่นอย่างไม่เข้าใจในวิธีการ

รูปแบบการกินแบบ IF (Intermittent Fasting)

(สิ่งสำคัญ) คุณควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเริ่มรูปแบบการกิน IF  โดยการกินแบบ IF แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. การอดอาหารเป็นระยะเป็นช่วงเวลา
2. การกินแบบจำกัดมื้อ
3. การกินแบบวันเว้นวัน

การกินแบบเว้นช่วงเวลาการอดอาหาร

【 IF 16/8 】 คือ การอดอาหาร 16 ชั่วโมง และกิน 8 ชั่วโมง (เป็นวิธีที่นิยม เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้น)

○  ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกิน ประมาณ 10.00 น. ถึง 18.00 น. 

【 IF 14/10 】 คือ การอดอาหาร 14 ชั่วโมง และกิน 10 ชั่วโมง

○  ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกิน ประมาณ 9.00 – 19.00 น

【 IF 19/5 】 คือ การอดอาหาร 19 ชั่วโมง และกิน 5 ชั่วโมง

○  Warrior Diet คือ การอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกิน 4 ชั่วโมง

การกินแบบจำกัดมื้อ

【 OMAD 】 (One Meal a Day) คือ การกินอาหารมื้อเดียวต่อวันในมื้อเที่ยง หรือไม่เกินบ่าย 4 โมงเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการกินแบบวิธีนี้
【 2MAD 】 (Two Meals a Day) คือ การงดอาหารเช้า กิน 2 มื้อ ได้แก่ มื้อเที่ยง และมื้อเย็นก่อน 2 ทุ่ม

การกินอาหารแบบวันเว้นวัน

【 5:2 】 คือ การกิน 5 วัน และอดหาร 2 วัน
【 ADF 】 (Alternate Day Fasting) คือ การอดอาหารแบบวันเว้นวัน โดยวันที่อดอาหารอาจจะอดทั้งวันหรือสามารถกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำในปริมาณน้อยๆ ประมาณ 500-600 แคลอรีต่อ 2 วันในสัปดาห์

จัดการรูปแบบการกิน IF สำหรับบุคคล

⫸   ผู้ที่สามารถจัดเวลาการกินอาหารได้แน่นอนและสม่ำเสมอ อาจใช้รูปแบบ IF 16/8, 14/10, OMAD, 2MAD, ADF

⫸   ผู้ที่ไม่มีเวลาที่ไม่แน่นอน อาจใช้รูปแบบ IF 19/5, Warrior Diet

โดยรูปแบบการกิน IF นั้นขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ ความชอบ และความสะดวกสำหรับบุคคล บางคนพบว่าการอดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมงเป็นเรื่องง่ายที่จำกัดเวลาการกินอาหารไว้เพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน เช่น 9.00 น. ถึง 17.00 น. ในขณะที่บางคนมีช่วงเวลาที่ไม่สะดวก และการทำงานที่ไม่เป็นเวลา โดยสามารถจัดการเวลาการกินได้สามารถความเหมาะสม เพียงแค่คุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการกินแบบ IF

 
ระวังข้อผิดพลาดที่จะเกิดจากการกินแบบ IF
  • จัดการความหิวไม่ดี  หากปล่อยให้ร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากความหิว จะทำให้ไม่สามารถควบคุมความหิวได้ แต่สามารถจัดการได้โดยการดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำมะนาวผสมเกลือธรรมชาติ ชาไม่เติมน้ำตาล กาแฟดำ ให้ความขมและความเปรี้ยวเค็มช่วยลดความหิว และการดื่มน้ำแอบเปิ้ลหมัก (Apple Cider Vinegar: ACV) ที่มีประสิทธิภาพลดความหิวได้อย่างรวดเร็ว
  • ไม่งดน้ำตาลหรือกินมื้อที่จัดเต็มไปด้วยความหวาน  หากเป็นมือใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงถอนน้ำตาล จะทำให้คุณโหยอยากน้ำตาลอย่างรุนแรง และจะส่งผลต่อการควบคุมการอดอาหารเป็นช่วงเวลาไม่ได้ผล
  • อดมากเกินไป  การอดอาหารมากไปหรือการกินในปริมาณที่น้อยจากคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้แนะนำ อาจทำให้คุณขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายสร้างระดับคอร์ติซอล (Cortisol) ที่เป็นฮอร์โมนกระตุ้นความเครียด ทำให้ร่างกายคุณเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และหากรุนแรงอาจะเป็นลมหมดสติได้
  • กินมากเกินไป  การกินอาหารจนอิ่มมากเกินไปในระหว่างการกินแบบ IF จะทำให้คุณเกิดอาการเวียนหัว มึนงง และอาเจียนได้ หากอาเจียนอย่างรุนแรงนั่นก็จะทำให้สารอาหารที่คุณพึงจะได้รับหายไปในมื้อนั้นๆ
  •  นอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ  เนื่องจากระบบฮอร์โมนที่ซ่อมแซมร่างกาย และระบบควบคุมความอิ่มในร่างกายจะแปรรวนหากนอนดึกมากไป จะทำให้ร่างกายโหยอยากน้ำตาล อาหารหวาน ที่จะทำให้ร่างกายกลับมาสู่ภาวะการกินจุและสร้างภาวะอินซูลินพุ่งสูง (Insulin Spike) ซึ่งเวลาทองของการนอน จะอยู่ระหว่าง 22:00 – 02.00 น.ซึ่งหากคุณได้นอนหลับสนิทภายในช่วงเวลานี้จะดีต่อสุขภาพคุณในเรื่องของการซ่อมแซมของร่างกาย การปรับสมดุลฮอร์โมนต่างๆ ที่จะช่วยมอบความอ่อนเยาว์ให้คุณ
  •  ไม่ออกกำลังกายในการกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อบ้าง  เช่น การออกกำลังกายแบบใช้ Weight การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน การฝึกโยคะ แน่น่อนการอดอาหารเป็นช่วงเวลาจะทำให้มวลกล้ามเนื้อบางส่วนหดหายไป และยิ่งหากคุณกินอาหารได้น้อยด้วยแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความน่ากังวลไปอีก เนื่องจากร่างกายได้ดึงเอาโปรตีนหรือกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทนอาหารเพื่อให้พลังงานที่เพียงพอ ดังนั้นหากคุณไม่ออกกำลังกายเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อบ้าง จะทำให้กล้ามเนื้อของคุณดูลีบไปและหากเกิดการกินจุก็จะทำให้เกิดภาวะโยโย่เอฟเฟกต์หรือภาวะที่น้ำหนักตัวเด้งขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างรวดเร็วและแปรปรวน จากการที่ร่างกายรีบกักเก็บน้ำตาลและไขมันในปริมาณที่มากกว่าปกติเพื่อป้องกันเมื่อเกิดการอดอาหารในครั้งต่อไป

CR : https://pathlab.co.th/eating-with-if-is-great-for-your-health/