ปวดหลัง ปวดเข่า สัญญาณแรกของกระดูกเสื่อมหรือไม่?
หลายคนเริ่มรู้สึก “เมื่อยหลัง ปวดเข่า” ตอนลุกเดิน นั่งนาน หรือขึ้นบันได แล้วสงสัยว่า… “นี่เรากำลังเป็นโรคกระดูกเสื่อมหรือเปล่า?”
อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในวัยทำงานจนถึงผู้สูงอายุ แต่ไม่ใช่ทุกกรณีจะหมายถึงกระดูกเสื่อมเสมอไป ดังนั้นเราควรรู้จักความแตกต่างของอาการ และเรียนรู้ว่าเมื่อใดควรตรวจสุขภาพกระดูกอย่างจริงจัง
กระดูกเสื่อมคืออะไร?
กระดูกเสื่อม (Osteoarthritis / Osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกหรือข้อต่อเสื่อมสภาพตามวัยหรือพฤติกรรม ส่งผลให้กระดูกบางลง เปราะง่าย หรือข้อเสื่อมทำให้เคลื่อนไหวลำบากและเจ็บปวด
โดยแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่:
กระดูกพรุน (Osteoporosis) – ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะ แตกหักง่าย แม้จากแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย
ข้อเสื่อม (Osteoarthritis) – ผิวข้อและกระดูกอ่อนบริเวณข้อเสื่อมสภาพ เกิดการอักเสบและเจ็บขณะเคลื่อนไหว เช่น เข่า สะโพก นิ้ว
ปวดหลัง ปวดเข่า เกี่ยวกับกระดูกเสื่อมหรือไม่?
1. ปวดหลัง
อาจเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเอ็นตึง หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม
หากเป็นกระดูกพรุน → อาจมี “กระดูกสันหลังยุบตัว” โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
อาการปวดจะรู้สึกเป็นจุดกลางหลัง หรือช่วงเอว และปวดลึกภายใน ไม่หายแม้พัก
ข้อสังเกต:
ปวดหลังเรื้อรัง (นานเกิน 3 เดือน)
ปวดตอนกลางคืน / ตื่นเช้ามีอาการตึงหลัง
ตัวเตี้ยลงชัดเจนเมื่อเทียบกับสมัยหนุ่มสาว
→ ควรสงสัยว่าเป็น กระดูกสันหลังเสื่อมหรือพรุน
2. ปวดเข่า
พบบ่อยในวัย 40+ โดยเฉพาะคนที่น้ำหนักเกิน หรือใช้งานข้อเข่าหนัก
อาจเป็น สัญญาณของข้อเข่าเสื่อม หากมีอาการดังนี้:
ปวดเวลาขยับ เช่น ตอนลุกนั่ง ขึ้น-ลงบันได
ข้อมีเสียงกรอบแกรบเวลาเคลื่อนไหว
รู้สึกเข่าตึง บวม หรือขัด
เดินนานแล้วปวด ต้องหยุดพักบ่อย
ข้อสังเกต:
หากอาการปวดเข่าไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ แต่เป็นเรื้อรัง และแย่ลงเมื่อใช้งาน → มีโอกาสเป็นข้อเสื่อมสูง
ปวดแล้วควรทำอย่างไร?
1. ประเมินตนเอง
ปวดเฉพาะกิจกรรม หรือปวดตลอดเวลา?
มีเสียงในข้อหรือไม่?
เคยหกล้มหรือกระแทกแรง ๆ ไหม?
2. พบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
ตรวจร่างกายเบื้องต้น
เอกซเรย์ดูข้อเข่าหรือกระดูกสันหลัง
ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD Scan) หากสงสัยกระดูกพรุน
3. เริ่มดูแลตนเอง
ควบคุมน้ำหนัก ลดแรงกดที่ข้อ
ปรับท่านั่ง-ท่ายืนให้น้ำหนักกระจายดี
ออกกำลังกายแบบ Low Impact เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
บำรุงด้วยอาหารแคลเซียมสูง หรืออาหารเสริมตามคำแนะนำแพทย์
ป้องกันก่อนสาย: เริ่มดูแลกระดูกวันนี้
อาหารที่ดีต่อกระดูก:
นม / โยเกิร์ต / ปลาตัวเล็ก
ผักใบเขียว เช่น คะน้า บร็อกโคลี
ถั่วเมล็ดแห้ง / อัลมอนด์ / งาดำ
ดื่มน้ำเพียงพอ และรับแสงแดดอ่อนวันละ 15–30 นาที เพื่อกระตุ้นวิตามิน D
ออกกำลังกายที่เหมาะสม:
เดินเร็ว
โยคะ
พิลาทิส
ยืดกล้ามเนื้อและหลังเป็นประจำ
สรุป
อาการ “ปวดหลัง ปวดเข่า” อาจเป็นเพียงอาการกล้ามเนื้อล้า แต่หากเกิดบ่อย เป็นเรื้อรัง และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ควรพิจารณาว่าอาจเกี่ยวข้องกับภาวะ “กระดูกหรือข้อเสื่อม” ได้
ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งดูแลได้ทันก่อนที่จะเกิดภาวะเรื้อรังหรือเสี่ยงต่อกระดูกหัก
เริ่มจากการสังเกตตัวเอง → ปรึกษาแพทย์ → ปรับพฤติกรรมและโภชนาการ
เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงและชีวิตที่เคลื่อนไหวได้อย่างไม่เจ็บปวด
แนะนำคลินิก www.sasipongclinic.com
©2023. sasipongclinic. All Rights Reserved.