กระดูกพรุน : โรคเงียบที่ไม่ควรมองข้าม 

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นลดลง โครงสร้างของกระดูกเปราะบาง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย โรคนี้มักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและสตรีวัยหมดประจำเดือน

แม้ว่าจะเป็นโรคที่พบบ่อย แต่หลายคนยังมองข้ามความสำคัญของการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และวิธีการรักษาโรคนี้ เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ทำไมกระดูกพรุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ?

โรคกระดูกพรุนถูกเรียกว่า “โรคเงียบ” (Silent Disease) เนื่องจากไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็มักจะเกิดกระดูกหักไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น
✅ กระดูกสะโพกหัก ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาจต้องนอนติดเตียง
✅ กระดูกสันหลังยุบตัว ทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง
✅ ส่วนสูงลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากกระดูกทรุดตัว

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุทั่วโลก โดยเฉพาะในเพศหญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน


สาเหตุของโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงและโครงสร้างของกระดูกเปราะบางขึ้น สาเหตุหลัก ได้แก่

1. อายุที่เพิ่มขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะสูญเสียมวลกระดูกตามธรรมชาติ อัตราการสร้างกระดูกใหม่ลดลง ในขณะที่การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น

2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้กระดูกสลายเร็วขึ้น
  • ผู้ชายสูงอายุ: ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงเช่นกัน

3. ขาดแคลเซียมและวิตามินดี

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างกระดูก หากได้รับไม่เพียงพอ กระดูกจะอ่อนแอลง ขณะที่วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมอย่างมีประสิทธิภาพ

4. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
  • การบริโภคคาเฟอีนและโซเดียมมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น

5. พันธุกรรมและโรคประจำตัว

หากมีประวัติโรคกระดูกพรุนในครอบครัว หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้


อาการของโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อกระดูกอ่อนแอลงมากขึ้น อาจมีอาการดังต่อไปนี้:

  • ปวดหลังเรื้อรังจากการยุบตัวของกระดูกสันหลัง
  • ส่วนสูงลดลงอย่างรวดเร็ว
  • กระดูกหักง่าย แม้จะได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย
  • หลังค่อม หรือมีภาวะหลังโก่ง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัว

วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง

แหล่งอาหารที่ดีของแคลเซียม ได้แก่
🥛 นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตและชีส
🐟 ปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซาร์ดีน
🥬 ผักใบเขียว เช่น คะน้า บรอกโคลี และปวยเล้ง

แหล่งของวิตามินดี ได้แก่
☀️ แสงแดดธรรมชาติ (ควรรับแดดช่วงเช้า 10-15 นาทีต่อวัน)
🐟 ปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก เช่น

  • การเดิน วิ่งเหยาะๆ
  • การฝึกด้วยน้ำหนัก (Weight Training)
  • โยคะ และพิลาทิส

3. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

🚭 งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
☕ ลดการบริโภคคาเฟอีนจากกาแฟและน้ำอัดลม
💊 หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

4. ตรวจมวลกระดูกเป็นประจำ

โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้สูงอายุ การตรวจมวลกระดูก (Bone Density Test) ช่วยให้สามารถวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนตั้งแต่เนิ่นๆ


การรักษาโรคกระดูกพรุน

1. การใช้ยา

แพทย์อาจแนะนำยาเพื่อลดการสลายตัวของกระดูก เช่น

  • Biphosphonates ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก
  • ฮอร์โมนทดแทน สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

2. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

🏃‍♀️ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
🍎 ปรับอาหารให้เหมาะสม เพิ่มสารอาหารที่จำเป็น

3. กายภาพบำบัด

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังจากภาวะกระดูกพรุน สามารถเข้ารับกายภาพบำบัดเพื่อช่วยบรรเทาอาการและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้รองรับกระดูกได้ดีขึ้น


พบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูก

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพกระดูก หรือมีปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

🏥 แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาที่ คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมออร์โธปิดิกส์หมอศศิพงษ์ ซึ่งเป็นศูนย์ให้บริการด้านสุขภาพกระดูกและข้อโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์

การป้องกันโรคกระดูกพรุนตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต 💪